<!DOCTYPE html PUBLIC "-//W3C//DTD XHTML 1.0 Transitional//EN" "http://www.w3.org/TR/xhtml1/DTD/xhtml1-transitional.dtd">
<html xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml">
<head>
<meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8" />
<title>Untitled Document</title>
</head>
<body>
<?php
$score=96;
if($score<50)
{echo'grade 0';}
else if($score<56)
{echo 'grade1';}
else if($score<60)
{echo 'grade1.5';}
else if($score<66)
{echo 'grade2';}
else if($score<70)
{echo 'grade2.5';}
else if($score<76)
{echo 'grade3';}
else if($score<80)
{echo 'grade3.5';}
else if($score<100)
{echo 'grade4';}
?>
</body>
</html>
Vision from books
ในโลกของหนังสือ อาจมีมุมมองอะไรเกิดขึ้นก็ได้... ในโลกของวรรณศิลป์ ยังมีแง่มุมที่น่าสนใจ คงเป็นเรื่องน่าสนุก หากนำเรื่องราวในนั้นออกมาสู่ชีวิตจริง... หนังสือกี่เล่ม...ที่จะกระทบใจเราอย่างจัง หนังสือแบบไหน...ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดไป... หนังสือกี่เล่ม...ที่ต่อให้อ่านซ้ำกี่รอบต่อกี่รอบ มันก็ยังสามารถทำให้เราร้องไห้ไปกับมันได้ทุกครั้ง หนังสือ...อาจเป็นโลกๆ หนึ่งของความคิดคนๆ หนึ่ง แต่มันก็เข้าถึงคนอีกคนได้อย่างประหลาด
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economy)
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจที่นำลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยมมารวมเข้าไว้ด้วยกัน
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เรียกกันโดยทั่วๆ ไปอีกอย่างหนึ่งว่า
"ระบบเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยมใหม่" เป็นระบบเศรษฐกิจที่ทั้งรัฐบาลและเอกชนรับผิดชอบร่วมกันในการตัดสินใจเกี่ยว กับปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ได้แก่การจะผลิตอะไร ในปริมาณเท่าใด ผลิตอย่างไร และแบ่งปันผลผลิตในหมู่สมาชิกของสังคมอย่างไร
ระบบนี้รัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทในการวางแผนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางประการ ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เอกชนดำเนินการทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่โดยอาศัยกลไกราคาเป็นเครื่องนำทาง
โดยกิจการใดที่กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐก็จะปล่อยให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ หรือใช้ระบบการแข่งขัน
ระบบเศรษฐกิจแบบผสมนี้ถือว่าได้รวมเอาข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยมเข้ามาไว้ด้วยกัน เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีความคล่องตัว เพราะใช้ระบบกลไกของรัฐร่วมกับกลไกราคาในการจัดสรรทรัพยากร
สรุปก็คือระบบเศรษฐกิจแบบผสม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้ระบบกลไกราคาหรือระบบตลาดควบคู่ไปกับระบบกลไกของรัฐในการจัดสรรทรัพยากร
ลักษณะที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบผสม มีดังนี้
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจที่นำลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยมมารวมเข้าไว้ด้วยกัน
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เรียกกันโดยทั่วๆ ไปอีกอย่างหนึ่งว่า
"ระบบเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยมใหม่" เป็นระบบเศรษฐกิจที่ทั้งรัฐบาลและเอกชนรับผิดชอบร่วมกันในการตัดสินใจเกี่ยว กับปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ได้แก่การจะผลิตอะไร ในปริมาณเท่าใด ผลิตอย่างไร และแบ่งปันผลผลิตในหมู่สมาชิกของสังคมอย่างไร
ระบบนี้รัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทในการวางแผนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางประการ ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เอกชนดำเนินการทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่โดยอาศัยกลไกราคาเป็นเครื่องนำทาง
โดยกิจการใดที่กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐก็จะปล่อยให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ หรือใช้ระบบการแข่งขัน
ระบบเศรษฐกิจแบบผสมนี้ถือว่าได้รวมเอาข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยมเข้ามาไว้ด้วยกัน เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีความคล่องตัว เพราะใช้ระบบกลไกของรัฐร่วมกับกลไกราคาในการจัดสรรทรัพยากร
สรุปก็คือระบบเศรษฐกิจแบบผสม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้ระบบกลไกราคาหรือระบบตลาดควบคู่ไปกับระบบกลไกของรัฐในการจัดสรรทรัพยากร
ลักษณะที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบผสม มีดังนี้
- เอกชนและรัฐบาลมีส่วนร่วมกันในการวางแผนเศรษฐกิจของประเทศว่าจะผลิตสินค้าและบริการอะไร ปริมาณมากน้อยเท่าใด กระจายสินค้าและบริการไปสู่ใครอย่างไรบ้าง ซึ่งต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการร่วมมือกันทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาล
- ทั้งเอกชนและรัฐบาลสามารถจะเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิตสินค้าและบริการอย่างเสรี แต่อาจมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการผลิตสินค้าและบริการบางประเภทที่รัฐบาลพิจารณาแล้วเห็นว่าหากปล่อยให้เอกชนดำเนินงานอาจไม่ปลอดภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือเอกชนไม่ได้อยู่ในฐานะที่เหมาะสมจะดำเนินงานได้เพราะอาจจะขาดแคลนเงินทุนหรือเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เช่น กิจกรรมสาธารณูปโภค สาธารณูปการ การรักษาความปลอดภัย การป้องกันประเทศ เป็นต้น
- ในระบบเศรษฐกิจแบบผสมนี้ กลไกราคายังเป็นสิ่งที่สำคัญในการกำหนดราคาสินค้าและบริการต่างๆ แต่รัฐบาลยังมีอำนาจในการแทรกแซงเพื่อกำหนดราคาสินค้าให้มี เสถียรภาพและเกิดความเป็นธรรมกับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
- รัฐจะคอยให้ความคุ้มครองและความช่วยเหลือ ตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในภาคเอกชนด้วยการสร้างพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การสร้างถนน สะพาน สนามบิน ฯลฯ ไว้คอยอำนวยประโยชน์ต่อเอกชนในการดำเนินธุรกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556
สมมุติว่าเราเป็นทะเล...
ตอนอ่านหนังสือเรื่อง I sea you จบ... มันซึ้งจริงๆ...
เรื่องราวยังไม่จบดี หน้าสุดท้ายในหนังสือ...ปีเตอร์ (ฉันเชื่อว่าปีเตอร์ต้องเป็นพระเอกแน่ๆ -*-) กับทะเล (แน่นอน.. ฉันจะเรียกทะเลว่านางเอก -*-) เพิ่งได้เจอกันเอง ไม่ใช่... ทะเลเพิ่งจำปีเตอร์ได้เอง
แปลกเนอะ... ทั้งๆที่ทะเลรอคอยที่จะได้เจอปีเตอร์อีก ทั้งที่รอมานานขนาดนั้น ทำไมทะเลถึงจำปีเตอร์ไม่ได้.. ฉันประทับใจความผูกพันในวัยเด็กของทั้งสอง แม้จะเป็นความทรงจำเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทะเลก็ยังจดจำและเฝ้ารอการกลับมาของปีเตอร์เสมอ
ทั้งที่รอ...
ทั้งที่อยากเจอ...
ทั้งที่อยากเห็นหน้าเขา...
...แต่ทำไม พอได้เจอ เธอถึงจำเขาไม่ได้
ฉันเชื่อว่าคนอ่านทุกคนต้องเกิดคำถามแบบเดียวกับฉัน
แต่ฉันไม่คิดหรอกว่าทะเลจะเลือกใคร ฉันแค่สะท้อนใจนิดหน่อยตอนเห็นแววตาของปีเตอร์
และยิ่งอยากร้องไห้ขึ้นไปอีกตอนปีเตอร์พูดว่า "จำเราได้ด้วยเหรอ"
T________T เศร้านะ...
เขาอาจจะคิดว่าทะเลกำลังรอเขาอยู่ก็ได้ เขาอาจอยากรู้ว่าถ้าได้เจอกันอีก ทะเลจะเป็นยังไง เหมือนกับที่ทะเลอยากรู้นั่นแหละว่า...ปีเตอร์จะเป็นยังไง
ฉันรู้สึกดีที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ รู้สึกดีที่ได้เห็นว่าปีเตอร์ยังจำทะเลได้
รู้สึกดีที่ปีเตอร์รักษาสัญญา...ว่าจะกลับมาอีก
รู้สึกดีที่ปีเตอร์ยังพูดภาษาไทยได้คล่องปลื้ดดดด (อันนี้ไม่เกี่ยว)
และรู้สึกเศร้าในเวลาเดียวกัน...
เคยคิดกันไหม ว่าการรอคอยใครสักคนหนึ่งมันต้องใช้ปัจจัยใด มันต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหน...
มันคงทรมานพอสมควรกับการที่ต้องรอคนที่เราไม่รู้ว่าเมื่อไร...เขาจะกลับมา
แต่ก็ยังมีความสุขอยู่บ้างเพราะเชื่อ...ว่ายังไง เขาต้องกลับมา...
ฉันคิดไม่ออกว่าถ้าฉันเจอปีเตอร์ในเวลาที่ตัวเองรู้จักกับเพื่อนคนใหม่อยู่ จะเป็นยังไง...
ฉันคิดไม่ออกว่าถ้าฉันเป็นปีเตอร์ แล้วมาเห็นทะเลสนิทสนมกับใครอีกคนในแบบที่เขาเองก็เคยเป็นสนิท... ฉันจะเป็นยังไง
ทะเลอาจคิดถึงปีเตอร์ในวัยเด็ก.. แต่ไม่ได้คิดว่าตอนโต ปีเตอร์จะเป็นยังไง
ทะเลอาจคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ในวันวาน แต่ไม่ได้คิดว่าถ้าจะมาเจอกันในอนาคต จะเป็นยังไง...
ทะเลอาจยึดมั่นกับคำสัญญาของปีเตอร์ เชื่อว่าเขาจะกลับมาเพราะเขาเคยสัญญา ...อาจเป็นแค่การยึดติด... หรือไม่เธอก็อาจไม่ได้รอปีเตอร์จริงๆ
แต่...ม่ายยยยยยยย ฉันไม่เชื่อหรอก -*-
ฉันว่าทะเลต้องรอปีเตอร์จริงๆ รอมานานขนาดนั้น มันต้องไม่ธรรมดาสิ -0-
...บางครั้ง ผลของการรอคอยอาจทำให้แม้แต่ตัวเราเองยังตกใจ...
...บางครั้ง แม้ว่าเราจะเฝ้ารอเขาอยู่ทุกวัน แต่พอได้เจอ เรากลับไม่คาดคิด...
ทั้งที่เชื่อว่าเขาจะกลับมา...อาจเพราะ เรารอเขานาน มันนานจนเราเลิกคิดไปแล้วว่าเขาจะมาเมื่อไร แทนที่ด้วยความรู้สึกที่ว่า ...เขาต้องกลับมา แค่เชื่อว่าเขาจะมา... ก็พอ
ฉันจะหยุดคิดว่า ถ้าตัวเองเป็นทะเล จะทำยังไง แต่ฉันจะเอาใจช่วยทะเลต่อไป
และฉันก็เชื่อ... ว่าความทรงจำอันงดงามระหว่างเธอและเขาจะยังคงกรุ่นอยู่ในใจคนอ่านตลอดไป
...รักทะเล
เรื่องราวยังไม่จบดี หน้าสุดท้ายในหนังสือ...ปีเตอร์ (ฉันเชื่อว่าปีเตอร์ต้องเป็นพระเอกแน่ๆ -*-) กับทะเล (แน่นอน.. ฉันจะเรียกทะเลว่านางเอก -*-) เพิ่งได้เจอกันเอง ไม่ใช่... ทะเลเพิ่งจำปีเตอร์ได้เอง
แปลกเนอะ... ทั้งๆที่ทะเลรอคอยที่จะได้เจอปีเตอร์อีก ทั้งที่รอมานานขนาดนั้น ทำไมทะเลถึงจำปีเตอร์ไม่ได้.. ฉันประทับใจความผูกพันในวัยเด็กของทั้งสอง แม้จะเป็นความทรงจำเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทะเลก็ยังจดจำและเฝ้ารอการกลับมาของปีเตอร์เสมอ
ทั้งที่รอ...
ทั้งที่อยากเจอ...
ทั้งที่อยากเห็นหน้าเขา...
...แต่ทำไม พอได้เจอ เธอถึงจำเขาไม่ได้
ฉันเชื่อว่าคนอ่านทุกคนต้องเกิดคำถามแบบเดียวกับฉัน
แต่ฉันไม่คิดหรอกว่าทะเลจะเลือกใคร ฉันแค่สะท้อนใจนิดหน่อยตอนเห็นแววตาของปีเตอร์
และยิ่งอยากร้องไห้ขึ้นไปอีกตอนปีเตอร์พูดว่า "จำเราได้ด้วยเหรอ"
T________T เศร้านะ...
เขาอาจจะคิดว่าทะเลกำลังรอเขาอยู่ก็ได้ เขาอาจอยากรู้ว่าถ้าได้เจอกันอีก ทะเลจะเป็นยังไง เหมือนกับที่ทะเลอยากรู้นั่นแหละว่า...ปีเตอร์จะเป็นยังไง
ฉันรู้สึกดีที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ รู้สึกดีที่ได้เห็นว่าปีเตอร์ยังจำทะเลได้
รู้สึกดีที่ปีเตอร์รักษาสัญญา...ว่าจะกลับมาอีก
รู้สึกดีที่ปีเตอร์ยังพูดภาษาไทยได้คล่องปลื้ดดดด (อันนี้ไม่เกี่ยว)
และรู้สึกเศร้าในเวลาเดียวกัน...
เคยคิดกันไหม ว่าการรอคอยใครสักคนหนึ่งมันต้องใช้ปัจจัยใด มันต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหน...
มันคงทรมานพอสมควรกับการที่ต้องรอคนที่เราไม่รู้ว่าเมื่อไร...เขาจะกลับมา
แต่ก็ยังมีความสุขอยู่บ้างเพราะเชื่อ...ว่ายังไง เขาต้องกลับมา...
ฉันคิดไม่ออกว่าถ้าฉันเจอปีเตอร์ในเวลาที่ตัวเองรู้จักกับเพื่อนคนใหม่อยู่ จะเป็นยังไง...
ฉันคิดไม่ออกว่าถ้าฉันเป็นปีเตอร์ แล้วมาเห็นทะเลสนิทสนมกับใครอีกคนในแบบที่เขาเองก็เคยเป็นสนิท... ฉันจะเป็นยังไง
ทะเลอาจคิดถึงปีเตอร์ในวัยเด็ก.. แต่ไม่ได้คิดว่าตอนโต ปีเตอร์จะเป็นยังไง
ทะเลอาจคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ในวันวาน แต่ไม่ได้คิดว่าถ้าจะมาเจอกันในอนาคต จะเป็นยังไง...
ทะเลอาจยึดมั่นกับคำสัญญาของปีเตอร์ เชื่อว่าเขาจะกลับมาเพราะเขาเคยสัญญา ...อาจเป็นแค่การยึดติด... หรือไม่เธอก็อาจไม่ได้รอปีเตอร์จริงๆ
แต่...ม่ายยยยยยยย ฉันไม่เชื่อหรอก -*-
ฉันว่าทะเลต้องรอปีเตอร์จริงๆ รอมานานขนาดนั้น มันต้องไม่ธรรมดาสิ -0-
...บางครั้ง ผลของการรอคอยอาจทำให้แม้แต่ตัวเราเองยังตกใจ...
...บางครั้ง แม้ว่าเราจะเฝ้ารอเขาอยู่ทุกวัน แต่พอได้เจอ เรากลับไม่คาดคิด...
ทั้งที่เชื่อว่าเขาจะกลับมา...อาจเพราะ เรารอเขานาน มันนานจนเราเลิกคิดไปแล้วว่าเขาจะมาเมื่อไร แทนที่ด้วยความรู้สึกที่ว่า ...เขาต้องกลับมา แค่เชื่อว่าเขาจะมา... ก็พอ
ฉันจะหยุดคิดว่า ถ้าตัวเองเป็นทะเล จะทำยังไง แต่ฉันจะเอาใจช่วยทะเลต่อไป
และฉันก็เชื่อ... ว่าความทรงจำอันงดงามระหว่างเธอและเขาจะยังคงกรุ่นอยู่ในใจคนอ่านตลอดไป
...รักทะเล
วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
หนังสือ เป็นมุมมองความคิดของคนที่เรียงร้อยถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร... หนังสือเล่มนั้นอาจเป็นนวนิยาย วรรณกรรม เรื่องสั้น หรือสารคดี หนังสือทุกเล่มล้วนมีเสน่ห์ในตัวของมัน
หนังสือต่อยอดจินตนาการของคนไปได้กว้างไกล
ฉันชอบหนังสือ ชอบซื้อ ชอบอ่าน ชอบยืม(และไม่คืน) และยังชอบเขียนอีกด้วย แน่นอนว่าการเขียนกับหนังสือเป็นของคู่กัน (ฉันหมายถึง..ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่บางคนก็ชอบอ่าน กลับไม่ชอบเขียน บางคนชอบเขียน กลับอ่านไม่เก่ง) แต่คนส่วนใหญ่ เมื่ออ่านหนังสือมากๆ ก็เริ่มเก็บกด ทำให้เกิดความรู้สึกอยากเขียนออกมาบ้าง (ระบายอารมณ์เป็นตัวหนังสือนั่นเอง) เหมือนกับฉัน ยิ่งอ่าน ยิ่งมีอารมณ์อยากเขียน ฉันชอบเขียนบันทึก เป็นการเขียนที่ออกแนวเขียนเพื่อตัวเอง เป็นการเขียนที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด สมมุติว่าใครเผลอเปิดบันทึกของฉันอ่าน เขาหรือเธอจะค้นพบว่าฉันยังมีมุมลึกลับและยังเก็บซ่อนเอาไว้อีกมาก ในบันทึกมีแต่ธาตุแท้ของตัวเองเต็มไปหมด -*- ฉันว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ฉันได้ขีดๆ เขียนๆ ฉันจะได้ไม่เก็บอะไรต่อมิอะไรไว้กับตัว(รวมถึงหัวใจ)มากเกินไป ฉันจะได้ระบายมันออกไปบ้าง เพียงแต่บางครั้งฉันก็รู้สึกทึ่งในตัวเองเหลือเกิน ฉันสารภาพอะไรมากมายในบันทึก แต่กลับไม่เคยกล้าพูดมันออกไปในชีวิตจริง มันคงเป็นลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งของพวกชอบเขียน ...เขียนได้เขียนดี อาจไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง...
หนังสือมีหลากหลายประเภท แต่ฉันจะโปรดปรานหนังสือที่มีเนื้อหาเศร้าๆ เป็นพิเศษ ฉันไม่ใช่พวกเสพติดความเศร้าแต่อย่างใด เพียงแต่ฉันคิดว่าอารมณ์เศร้าในหนังสือมันลึกซึ้งดี ฉันหลงใหลถ้อยคำพวกนั้น และฉันว่า ...มันบาดลึกไปถึงหัวใจดี
หนังสือต่อยอดจินตนาการของคนไปได้กว้างไกล
ฉันชอบหนังสือ ชอบซื้อ ชอบอ่าน ชอบยืม(และไม่คืน) และยังชอบเขียนอีกด้วย แน่นอนว่าการเขียนกับหนังสือเป็นของคู่กัน (ฉันหมายถึง..ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่บางคนก็ชอบอ่าน กลับไม่ชอบเขียน บางคนชอบเขียน กลับอ่านไม่เก่ง) แต่คนส่วนใหญ่ เมื่ออ่านหนังสือมากๆ ก็เริ่มเก็บกด ทำให้เกิดความรู้สึกอยากเขียนออกมาบ้าง (ระบายอารมณ์เป็นตัวหนังสือนั่นเอง) เหมือนกับฉัน ยิ่งอ่าน ยิ่งมีอารมณ์อยากเขียน ฉันชอบเขียนบันทึก เป็นการเขียนที่ออกแนวเขียนเพื่อตัวเอง เป็นการเขียนที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด สมมุติว่าใครเผลอเปิดบันทึกของฉันอ่าน เขาหรือเธอจะค้นพบว่าฉันยังมีมุมลึกลับและยังเก็บซ่อนเอาไว้อีกมาก ในบันทึกมีแต่ธาตุแท้ของตัวเองเต็มไปหมด -*- ฉันว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ฉันได้ขีดๆ เขียนๆ ฉันจะได้ไม่เก็บอะไรต่อมิอะไรไว้กับตัว(รวมถึงหัวใจ)มากเกินไป ฉันจะได้ระบายมันออกไปบ้าง เพียงแต่บางครั้งฉันก็รู้สึกทึ่งในตัวเองเหลือเกิน ฉันสารภาพอะไรมากมายในบันทึก แต่กลับไม่เคยกล้าพูดมันออกไปในชีวิตจริง มันคงเป็นลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งของพวกชอบเขียน ...เขียนได้เขียนดี อาจไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง...
หนังสือมีหลากหลายประเภท แต่ฉันจะโปรดปรานหนังสือที่มีเนื้อหาเศร้าๆ เป็นพิเศษ ฉันไม่ใช่พวกเสพติดความเศร้าแต่อย่างใด เพียงแต่ฉันคิดว่าอารมณ์เศร้าในหนังสือมันลึกซึ้งดี ฉันหลงใหลถ้อยคำพวกนั้น และฉันว่า ...มันบาดลึกไปถึงหัวใจดี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)